วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

มเหสีป่วนรัก


มเหสีป่วนรัก 2 เล่มจบ / ผู้แต่ง : เกอหยาง 
ผู้แปล : Wisnu
สำนักพิมพ์ แจ่มใส

คำโปรยหลังปก
ยามราชสำนักไม่มั่นคง จักรพรรดิเยาว์วัย พระพันปีอ่อนแอ 
ช่วงเวลาเช่นนี้มักจะมีขุนนางชั่วโฉดสร้างโอกาสยึดรวมอำนาจไว้ในมือของตน
‘เวยกั๋วกง’ขุนนางผู้กระหายควบคุมอำนาจล้นฟ้าไว้ในมือ แม้แต่จักรพรรดิน้อยก็ต้องเชื่อฟัง 

เขาจึงเดินหมากเพื่อเป็นพระสัสสุระของจักรพรรดิน้อย 
ส่งบุตรีนอกสมรสของตนเข้าอภิเษกสมรสเป็นอัครมเหสีเพียงหนึ่งเดียว
เรื่องนี้สะเทือนฟ้าสะเทือนดินยิ่งนัก ผู้คนต่างโจษขานกันไปไกล 

ทว่าเรื่องที่เล่าลือกันนี้มิใช่เพราะความยิ่งใหญ่ หรือความงดงามของอัครมเหสี
แต่เป็นเพราะบุตรีของเวยกั๋วกงผู้นี้นั้นห่างไกลจากคำว่า ‘สาวงาม’ มากนัก 
อีกทั้งรูปร่างหรือก็อวบอ้วนยิ่งนัก ผิวพรรณก็ดำขำ จนพาให้ผู้พบเห็นได้ขบขัน 
หนำซ้ำอัครมเหสีผู้นี้ยังเป็นคนสร้างความปั่นป่วนไปทั่ววังหลวง สมกับเป็นบุตรีของขุนนางโฉดชั่วโดยแท้
แต่ทว่าแม้ว่านางจะอ้วนดำ ทั้งยังเป็นลูกศัตรู 

เหตุไฉนจิตใจของจักรพรรดิน้อยถึงได้ป่วนปั่นและอ่อนไหวไปเพราะนางเช่นนี้!

ความรู้สึกหลังอ่านจบ (อาจมีสปอยล์)
เพื่อรักษาบัลลังก์ของบุตรชายให้มั่นคง ไทเฮาจึงจำต้องผูกมิตรเพื่อเอาใจ หลิวเซีย ขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจมากที่สุดในราชสำนัก ณ เวลานั้น  เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจากโฉมสะคราญ หลิวไป๋อวี๋ ที่ตนหมายตา จะกลับกลายมาเป็น หลิวเฮยพั่ง  ที่ทั้งอ้วนทั้งดำนางนี้แทน ...
ทว่ากว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะ
อีกฝ่ายได้เข้าพิธีแต่งงานกลายเป็นอัครมเหสี เป็นภรรยาที่ร่วมผูกผมของบุตรชาย และกลายเป็นลูกสะใภ้ของนางไปเสียแล้ว....

นางเอก หลิวเฮยพั่ง เพียงแค่ชื่อก็ทำให้จินตนาการถึงรูปร่างหน้าตาได้หมดแล้ว เพราะภาษาจีน เฮย แปลว่า ดำ / พั่ง แปลว่า อ้วน .... แต่เราคิดว่านางไม่น่าจะอ้วนดำขนาดนั้นหรอกมั้ง
อาจ
จะผิวคล้ำกว่าคนอื่นหน่อย 
อวบๆ มีเนื้อมีหนัง ไม่ผอมบางเอวคอด หุ่นไม่เหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไปในสมัยนั้นเท่านั้นเอง (รึเปล่า?) 

นางเอกเป็นคนฉลาดแต่ชอบแกล้งโง่ เป็นคนสบายๆ ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจอะไร  ขอแค่ได้กินอิ่มนอนหลับและทำหน้าที่ของอัครมเหสีได้ดีก็เป็นพอ  ภายนอกดูเหมือนไม่ค่อยแคร์อะไร  ..
ใครจะแก่งแย่งชิงดีอะไรก็ปล่อยเขาไป  
ช่างมัน แล้วแต่บุญแต่กรรมเถอะ 55+  
... แต่จริงๆ เราว่ามันอาจเป็นเพราะนางเอกต้องอยู่ในจุดยืนที่ลำบาก จะพูดจะทำอะไรก็ยาก 
เพราะนั่นก็พ่อ นี่ก็สามี จะให้อยู่ข้างพ่อแต่ต้องทำร้ายสามีนางก็ไม่เอา แต่ถ้าจะให้อยู่ข้างสามีแล้วต้องทำร้ายพ่อนางก็ทำไม่ได้อีก ...เฮ้อ

ส่วนพระเอก ต้วนอวิ๋นจั้ง เพราะถูกบังคับให้แต่งงานตั้งแต่ยังเด็ก ก็เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกไม่พอใจและไม่ชอบหน้าเมียตัวเอง เพราะนอกจากจะไม่สวย อีกฝ่ายก็ยังเป็นลูกของศัตรูที่เขาต้องกำจัดอีกด้วย  ดังนั้นความสัมพันธ์ของพระ-นาง จึงค่อนข้างห่างเหินและไม่สู้ดีนัก  
แต่เท่านั้นยังไม่พอ! เพราะสวรรค์ยังส่งหญิงงามลงมาเป็นแบบทดสอบความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อีก
หญิงงามที่นอกจากจะงามแล้วก็ยังฉลาด พูดจาเข้าหู จะแต่งกลอน วาดภาพ หรือดีดพิณก็ได้ทั้งนั้น ทั้งสวยทั้งเก่งคุณสมบัติดีพร้อมขนาดนี้  ก็เป็นธรรมดาที่ผู้ชายจะต้องชอบใช่ม๊า ..
เพราะพอหันกลับมาดูเมียที่บ้านตัวเอง นอกจากรูปร่างหน้าตาจะไม่งาม ก็ยังไม่ชอบแสดงความรู้สึก ชอบทำหน้าตาย ไม่ชอบเรื่องยุ่งยาก ไม่มีความหึงหวงใดๆ ไม่มีอะไรน่าดึงดูดเลยสักนิด ..
แต่เราว่าที่นางเอกดูนิ่งๆ เหมือนไม่แคร์ ส่วนหนึ่งมันน่าจะเป็นเพราะนางเข้าใจและตระหนักถึงฐานะของตัวเองดีมาตั้งแต่เด็กๆ บวกกับยังไม่มีใจด้วยไง เพราะฉะนั้นนางถึงไม่เคยตีโพยตีพาย ไม่เคยพูดอะไร  ...กลับเป็นฝั่งพระเอกซะอีกที่รู้สึกตัวได้ก่อนว่าคิดยังไงกับเมีย (ฮิ้ววว)  แล้วก็เริ่มทำอะไรชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่ปล่อยให้เราคนอ่านปวดใจมาตั้งนาน ... หึหึ
             
อ่านจบแล้วเราชอบนะ  จริงๆ สนใจตั้งแต่ที่ได้อ่านคำโปรยแล้ว เพราะเรื่องนี้นางเอกไม่ใช่โฉมงามเอวบางร่างเล็ก แต่ตรงกันข้ามเพราะนางทั้งดำทั้งอ้วน ไม่ตรงตามแบบฉบับสาวงามทั้งหลาย
แล้วก็เป็นแบบนั้นตั้งแต่ต้นไปจนจบเรื่องเลยด้วยจ้า  
เราเลยอยากรู้ว่าพระ-นางจะรักกันได้ยังไง เพราะอุปสรรคของคนทั้งคู่ก็มีไม่ใช่น้อย ....โดยเฉพาะเรื่องพ่อของนางเอกที่เป็นหนามตำใจพระเอกมากที่สุด  และนี่ก็เป็นอีกจุดที่ทำให้เราชอบพระ-นางของเรื่องนี้ ....
เพราะถึงพ่อนางเอกจะเป็นแบบนั้น แต่นางก็ไม่ได้โกรธหรือเกลียดอะไรพ่อตัวเองเลย  แม้เขาจะไม่ได้เลี้ยงดูตัวเองมา แม้เขาจะเห็นนางเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีเขา นางก็คงไม่มีทางได้แต่งงานกับพระเอก  อีกทั้งพ่อก็ไม่ได้สั่งให้นางไปทำอะไรที่ไม่ดี แต่กลับปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตสโลว์ๆ เป็นอัครมเหสีสบายๆ แบบนั้นไปเรื่อยๆ ด้วยนะ   

ส่วนพระเอกก็รู้ดีว่าเมียนั้นต้องอยู่ในจุดยืนที่ลำบาก ถึงจะไม่ชอบที่นางเป็นลูกของศัตรู แต่มันก็เป็นไปแล้วอะเนาะ  จึงได้แต่ทำใจยอมรับและไม่ดึงนางเข้ามากี่ยวข้องบนเส้นทางการต่อสู้นี้ 
สิ่งที่เขาต้องทำก็คือให้นางได้กินของอร่อยๆ ที่ชอบ  ได้อ่านหนังสือนิยายที่อยากอ่าน  ทำให้นางยังคงเป็นเฮยพั่งคนเดิมแบบนี้ .... ถึงจะอยู่คนละขั้วแต่พระเอกก็พยายามหาหนทางที่จะได้อยู่ร่วมกันกับเมียตลอดไปนะ.........

           ยามนางแย้มยิ้มเขาก็รู้สึกสุขใจ  ยามนางร่ำไห้ ราวกับหัวใจเขาถูกแช่อยู่ในน้ำส้ม
หากเวลาสามารถไหลเลื่อนอยู่ท่ามกลางการจ้องมองเช่นนี้ได้ มันจะดีสักเพียงใดกัน
ถึงตอนนั้นโลกภายนอกจะเป็นเช่นไรก็คงไม่สลักสำคัญอีกต่อไป
               เขากุมมือที่ถือถังหูลู่ของนางไว้แผ่วเบา  ความรู้สึกเป็นสุขยากจะเก็บงำไว้ในใจ
ราวกับจะกลับกลายเป็นคำพูดไหลทะลักเอ่อล้นออกมา
               " เฮยพั่ง ... เจ้า "   '   

...........................................................................................................

' บางครั้งยามค่ำคืน เขามักจะสะดุ้งตื่นจากฝัน  
เข้าใจผิดไปว่าตนเองยังคงเป็นจักรพรรดิน้อยที่มุมานะพากเพียรเขียนอ่านอยู่ในห้องทรงพระอักษร
ส่วนนางก็ยังคงเป็นเด็กสาวตะกละตะกลามไม่รู้จักอนาทรร้อนใจ  
เขาลากมือนางแล้วบังคับให้วิ่งไปอย่างไร้จุดหมาย  
เขาคิดว่าถึงแม้ระหว่างพวกเขาสองคนจะมีภูเขานับพันแม้น้ำนับหมื่นขวางกั้น 
แต่อย่างน้อยก็ยังมีมือคู่หนึ่งเกาะกุมกันไว้แน่น 
แต่ว่า .. หรือว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมา  
ยามเขาไม่ทันได้หันกลับไปมอง 
มือคู่นั้นกลับคลายออกก่อนแล้ว
แต่เขามิอาจกล่าวโทษผู้อื่น  และมิอาจกล่าวโทษนาง
เขาค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น  ในใจสับสนวุ่นวายยากเกินจะเอ่ย .....  ' 


วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เจ้าอัคคีหวงรัก 3 เล่มจบ


เจ้าอัคคีหวงรัก 3 เล่มจบ / ผู้แต่ง : อวี๋ฉิง / ผู้แปล : เม่นน้อย
สำนักพิมพ์ แจ่มใส

คำโปรยหลังปก
‘หนานกงหล่าง’  หนึ่งในเจ็ดอัคคีผู้ร้ายกาจดั่งปีศาจ ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นต่างหวาดกลัว 
ใครจะคิดว่าเขาจะยึดมั่นถือมั่นในความรักอย่างลึกซึ้ง 
ทว่าภรรยาที่รักจะจากไปนานถึงสามปี ก็มิอาจตัดใจ 
ยอมกระทั่งอ่อนข้อให้ศัตรูสังหารเขาจนดับสิ้น 
เพื่อที่จะลงไปติดตาม เฝ้าคอยหา แม้ว่าที่แห่งนั้นจะเป็นปรโลกก็ตาม
เมื่อวิญญาณก้าวอยู่ตรงหน้าประตูปรภพโลกล่าง 

แต่มิอาจก้าวข้ามไปได้ ซ้ำยังถูกผลักไสกลับไปทุกครั้ง 
เขาจึงตั้งปณิธานไว้ว่าถ้าไม่ได้พบจิตวิญญาณของนางก็จะไม่ตัดใจ 
หนานกงหล่างจะต้องพานางกลับไป...กลับไปยังที่ที่นางจากมาให้ได้

เรื่องที่ดวงวิญญาณที่ไม่สิ้นอายุขัยตามหาภรรยา

สร้างความยากลำบากให้แก่ ‘เหลียนจวิน’ ภูตหนุ่มน้อยที่รับหน้าเฝ้าประตูวิญญาณยิ่งนัก 
ช่างเป็นวิญญาณที่ดื้อรั้น ดื้อดึงถึงที่สุด 
ทำให้เขาต้องหาทางมารับมือกับวิญญาณตนนี้อย่างสุดความสามารถ
แต่ทว่าความสามารถเขานั้นช่างน้อยนิด มิอาจจะต้านทานความร้ายกาจได้ 
จำต้องก้มหน้าช่วยตามหาภรรยาที่เป็นดั่งดอกไม้เล็กๆ สีขาวของอีกฝ่าย 
ทำให้ภูตน้อยเช่นเขาเข้ามาพัวพันกับความวุ่นวายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!

ความรู้สึกหลังอ่านจบ (อาจมีสปอยล์)
ชุยเหลียนจวิน  ภูติน้อยจากโลกล่าง เพราะจิตวิญญาณบางส่วนขาดหาย
เหลียนจวินเลยเป็นได้แค่เจ้าหน้าที่ชั่วคราวอยู่ในโลกล่าง เดิมทีเขาเป็นคนง่ายๆ  
ไม่โลภมากหรือมีความปรารถนาอะไร ขอแค่ได้มีชีวิตที่สงบสุขและได้อ่านหนังสือเยอะๆ ก็พอ    
... แต่วันคืนที่สงบสุขก็เริ่มหมดลง  เมื่อหนานกงหล่าง หนึ่งในเจ็ดอัคคีลงมาเยือนโลกล่าง
เพื่อตามหาภรรยาที่จากไป  เหลียนจวินปวดเศียรเวียนเกล้าเพราะต้องคอยคิดหาวิธีต่างๆ มารับมือ
กับหนานกงหล่าง และหาทางส่งเขากลับไปยังโลกมนุษย์ .... 
สุดท้ายเขาถึงขั้นต้องจำใจผูกวาสนาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับหนานกงหล่าง
เพื่อบีบให้อีกฝ่ายกลับไปยังโลกเดิม .... 

พระเอก หนานกงหล่างหรือท่านห้า  หนึ่งในเจ็ดอัคคีผู้มีรูปโฉมงดงามราวกับเทพเซียน
แต่ทว่านิสัยกลับโหดเหี้ยมเย็นชาตรงข้ามกับหน้าตาโดยสิ้นเชิง  
หนานกงหล่างมีภรรยาที่หน้าตาธรรมดาและนิสัยผิดกันนามว่า ชุนฮวา   
ท่ามกลางกลียุคและความสกปรกโสมมของจิตใจคน ชุนฮวากลับเป็นเสมือนดอกไม้ดอกเล็กๆ สีขาว ที่เปล่งแสงสว่างงดงามอยู่ในจิตใจของเหล่าเจ็ดอัคคี

เจ็ดอัคคีถือกำเนิดในยามที่บ้านเมืองระส่ำระส่าย ยามที่แผ่นดินลุกเป็นไฟมีแต่กลิ่นคาวเลือด  
แม้จะทำเพื่อกอบกู้บ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น  แต่ความรู้สึกของผู้คนในหวงเฉากลับไม่ได้ยกย่องเชิดชูพวกเขาเสมือนว่าเป็นวีรบุรุษเลย  ตรงกันข้ามลึกๆ ทุกคนต่างรังเกียจและชิงชังเจ็ดอัคคีมาก  
คงจะมีก็แต่นางเอกเท่านั้นที่ไม่เคยนึกรังเกียจหรือหวาดกลัวพวกเขาเลย           

ตอนแรกพวกเขาเห็นนางเอกเป็นสิ่งแปลกใหม่  ด้วยความอยากรู้บวกกับความสนใจ  
พวกเขาจึงตัดสินใจรับแกะน้อยที่แสนจะอ่อนแอตัวนี้มาไว้ในความดูแล  
ไม่งั้นด้วยลักษณะนิสัยและสภาพร่างกายแบบนี้ หากไม่มีเจ็ดอัคคีคอยปกป้องคงได้ตายแน่นอน  
เพราะนี่ไม่ใช่ลักษณะนิสัยของคนที่จะอยู่รอดในแผ่นดินที่แบ่งแยกชนชั้น และมีระบบทาสชัดเจนเช่นนี้ ทาสที่นี่ไม่ต่างอะไรจากสัตว์  ไม่มีค่า
และสามารถฆ่าทิ้งได้ทุกเมื่อโดยไม่ผิดกฎหมายใดๆ......

นางเอกเป็นคนที่เข้มแข็งและจิตใจดีมากๆ  ไม่เคยโกรธแค้นหรือคิดร้ายใคร   
แม้จะถูกบีบให้ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ได้  
ถูกบีบให้ไม่สามารถไปไหนมาไหนเพราะไม่มีที่ให้เดิน  กระทั่งร่างกายก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ
แต่นางก็ยังใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขสบายใจ  ไม่ยึดติด ไม่โลภมาก ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น  
แค่ได้อยู่กับคนที่รักก็พอ (ปลงได้ตั้งแต่เด็กเลยนะเออ) ...  
ส่วนเจ็ดอัคคีก็ไม่เคยยอมแพ้เฝ้า ทำทุกวิถีทางเพื่อให้นางได้มีที่ยืนบนแผ่นดิน  
ขอแค่ให้นางได้มีชีวิตอยู่ต่อไป  ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนพวกเขาก็ยินดีทำ...

เรื่องนี้ก็ตามสไตล์อวี๋ฉิงอะเน้อ ก็จะเนิบๆ เรื่อยๆ แบบว่าเล่าไปเรื่อยๆ ไม่ได้โลดโผนอะไร  
รู้สึกเหมือนกำลังอ่านหนังสือปรัชญาชีวิตอยู่เลยอะ 55+     
พออ่านจบแล้วก็รู้สึกว่าน่าจะใช้ชื่อว่าเจ็ดอัคคีหวงรักมากกว่านะ 55+ ... 
เพราะไม่ได้มีแต่พระเอกเท่านั้นที่รักและเป็นห่วงนางเอก  
แต่ยังมีเจ็ดอัคคีคนอื่นๆ อีกด้วย ที่รักและก็เป็นห่วงนางเอกมากไม่แพ้กัน       
                       
ส่วนปริศนาของเรื่องที่ทำให้เราสงสัยและอยากรู้มากที่สุดก็คือ ที่มาที่ไปของนางเอกและเจ็ดอัคคีทั้งหมด... เพราะอ่านเล่มแรกๆ จะรู้เลยว่านางเอกไม่ใช่คนบนโลกนี้แน่นอน  
ส่วนเจ็ดอัคคีตอนอ่านก็สงสัยว่านี่พวกเอ็งใช่มนุษย์กันจริงๆ หรือ  
เพราะดูจะเก่งกาจและโหดเหี้ยมเกินคนไปหน่อยนะจ๊ะ  
แต่ส่วนใหญ่เราจะไม่ค่อยได้เห็นบทโหดๆ ของพวกพี่แกหรอก
เพราะส่วนมากจะเห็นแต่ตอนที่อยู่กับนางเอกซะมากกว่า  ซึ่งก็จะดูซอฟท์  
ดูใจดีเหมือนมีความสามัคคีกัน 55+                    
แต่ก็สงสัยว่าใครหนอที่มีความสามารถถึงขนาดที่ทำเรื่องพวกนี้ได้ 
สามารถบีบให้นางเอกไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้   ขนาดที่เจ็ดอัคคีร่วมมือกันปกป้อง
พยายามช่วยกันขัดขวางแต่ก็ยังต้านไม่อยู่เลย   .... 
ซึ่งหากไม่อ่านให้จบให้ครบทั้ง 3 เล่มเราก็จะไม่รู้ความจริงของปริศนาเหล่านี้นะจ๊ะ   

...........................................................................

" เช่นนั้น .. ตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว เช่นนี้ก็ไม่ได้หรือ "

เหลียนจวินก้มหน้าตอบเสียงค่อย

" เชื่อแล้วจะมีประโยชน์อะไร พี่ใหญ่ ชุนฮวาตายตอนอายุยี่สิบ  สำหรับนางแล้วนับแต่นั้นมาย่อมเป็นอิสระ   ไม่ต้องเผชิญหน้ากับโลกที่ไม่คุ้นเคย  ไม่ต้องทนกับโลกที่แบ่งแยกสูงต่ำชัดเจนเกินไปเช่นนี้ .."

หนานกงหล่างคว้าจับมือเขากะทันหัน

เหลียนจวินตะลึงแหงนหน้าเผชิญหน้ากับบุรุษผู้นี้โดยสัญชาตญาณ

สายตาของหนานกงหล่างจ้องมองเขาขณะกัดฟันพูด

" ถ้าหากข้าเปลี่ยนแปลงระบอบระเบียบของหวงเฉาแห่งนี้เล่า "

เหลียนจวินเบิกตาค้าง

หนานกงหล่างพูดเสียงเฉียบอีกครั้ง

" ถ้าข้าเปลี่ยนแปลงหวงเฉาที่เต็มไปด้วยคาวเลือดได้  ชุนฮวาจะยอมกลับมาเพื่อข้าหรือไม่ "


วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ฟ้าส่งข้ามาลุย - ภาคท่านหญิงหลีหยาง


ฟ้าส่งข้ามาลุย - ภาคท่านหญิงหลีหยาง 2 เล่มจบ / ผู้แต่ง : MENG XI SHI
สำนักพิมพ์ Hongsamut

คำโปรยหลังปก

ใครๆ ก็ย้อนอดีต ... แต่พวกเธอกลุ่มนี้กลับถูกเหวี่ยงมา ' อนาคต '
ท่านหญิงหลีหยาง พระราชนัดดาผู้ถือกำเนิดจากพระชายาของ 
'เต้าอ๋อง - หลี่หยวนชิ่ง' โอรสองค์ที่สิบหกของ 'ฮ่องเต้เกาจู่่ '
นับเป็นหนึ่งในราชนิกุลต้าถังที่รุ่งเรืองและถูกทะนุถนอมมากที่สุด

ก่อนที่จะป่วยหนักจนสิ้นใจ  นางเคยมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งเงินทอง
และยศถาบรรดาศักดิ์ แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางกลับพบว่า
ตนอยู่ในร่างของ ' อิ๋งอิ๋ง ' ดาราตัวประกอบหางแถวที่ไม่มี 'อะไรสักอย่าง '

ผอมแห้ง - แฟนทิ้ง - งานกำลังดิ่งลงเหว
ที่สำคัญไม่มีเงินในกระเป๋าพอยาไส้
ความทรงจำเก่าๆ ของซางอิ๋ง ทำให้ท่านหญิงทราบว่าสำหรับโลกใบใหม่นี้
ราชวงศ์ถังเป็นอดีตไปแล้ว

อดีตเมื่อพันปีก่อน!!!!

ไม่มีฮ่องเต้ ฮองเฮา พระสนมหรือชายงามที่เคยเลี้ยงไว้
ทุกคนบนโลกใบใหม่ต้องดิ้นรนเพื่อให้ตนเองอยู่รอด
แน่นอนว่าถ้าครอบครัวมีฐานะก็เป็นอีกเรื่อง  แต่เห็นได้ชัดว่าฐานะ
ครอบครัวของซางอิ๋งนั้นย่ำแย่สุดๆ
ตกลง  ท่านหญิงอย่างนางกำลังโป๊ะปังถังแตกจริงหรอเนี่ย?

ความรู้สึกหลังอ่านจบ  (อาจมีสปอยล์ )
เรื่องราวของท่านหญิงหลีหยาง  สตรีชนชั้นสูงหนึ่งในราชนิกุลแห่งต้าถัง 
ที่ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของซางอิ๋งดาราสาวในยุคปัจจุบันที่กำลังจะตกกระป๋อง  
ซางอิ๋งคนก่อนมักชอบทำตัวให้ตกเป็นข่าวเสียๆ หายๆ อยู่ตลอดเวลา  
แถมฝีมือการแสดงก็ยังงั้นๆ จึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของใครๆ  
หลังจากที่ไปทะเลาะตบตีกับคนอื่นเพราะเรื่องผู้ชาย  
ซางอิ๋งก็ประสบอุบัติเหตุและทำให้ท่านหญิงหลีหยางเข้ามาอยู่ในร่างนี้แทน ...

ท่านหญิงหลีหยางตื่นมาแบบงงๆ เมื่อได้รู้ว่าสถานที่ที่นางอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ยุคสมัยเดิม  
ที่นี่ไม่มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ แต่ทุกอย่างต้องลงมือทำด้วยตัวเอง  
ที่นี่ไม่มีหนุ่มๆ หน้าใสวัยละอ่อนมาคอยรุมล้อมเอาใจ จะมีก็แต่หนุ่มหน้าไม่ค่อยใส
วัยเกือบจะกลางคนแล้วทั้งนั้น55 แถมเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ค่อยมีเงินและกำลังจะตกงานอีกด้วย  
แต่ท่านหญิงก็คือท่านหญิง เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน
แต่พอตั้งสติได้นางก็เข้าใจทุกอย่างและปรับตัวได้ในบัดดล  ....หึหึ  ( ̄ー+ ̄)

ซางอิ๋งคนเก่านั้นนิสัยไม่ดีจึงทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากคบหา  
แม้แต่หนุ่มไฮโซที่จ้องจะจับก็ยังเขี่ยทิ้ง งานไม่มี เงินก็กำลังจะหมด ปัญหาต่างๆ พากันรุมเร้า... 
แต่ทุกปัญหาที่ว่าเมื่อมาอยู่ตรงหน้าของท่านหญิงก็ล้วนไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป  ... 
ซางอิ๋งในวันนี้จึงไม่ใช่ดาราสาวที่มีแต่คนเอือมระอา และพากันส่ายหน้าหนีอีกแล้ว  
แต่ตรงกันข้ามเธอกลับเปล่งประกายเจิดจ้า จนทำให้ผู้คนต้องจับตามองด้วยความสนใจ  
..... ไม่ต้องจับดาบ  ไม่ต้องมีวรยุทธ์  แค่มีมันสมองกับจิตใจที่สงบนิ่งก็สามารถเอาชนะทุกสิ่งได้ 
ในไม่ช้าดาราสาวที่กำลังจะตกอับ ที่ผู้คนต่างพากันชังน้ำหน้า ก็พลิกฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง 

นางเอกเรื่องนี้ถึงจะมาจากยุคโบราณ แต่ความคิดความอ่านก็ไม่ได้ล้าสมัยหรือเก่าคร่ำครึเน้อ  
เพราะนางมาจากยุคสมัยถังที่ตอนนั้นสังคมเปิดกว้างให้กับผู้หญิง  
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องระหว่างชาย-หญิง  เพราะฉะนั้นนางเอกจึงปรับตัวได้ไม่ยาก 
ส่วนในเรื่องความรักนางก็ค่อนข้างแฟร์  คบได้ก็เลิกได้  ไม่พอใจก็ไม่ฝืน  
ไม่ได้ยึดติดหรือเห็นผู้ชายเป็นดั่งท้องฟ้าที่ต้องโอนอ่อนผ่อนตามทุกเรื่อง ...
กลับเป็นพระเอกซะอีกที่ยอมไม่ได้ จากคาสโนวาตัวพ่อกลายมาเป็นลูกแมวน้อยแสนเชื่องเลยจ้า

สำหรับเราเป็นเรื่องที่อ่านได้เรื่อยๆ  ไม่ต้องคิดอะไรมาก 
ไม่มีจุดพีคเพราะส่วนใหญ่ก็พอเดาๆ ได้อยู่แล้ว  ปัญหาหรืออุปสรรคในเรื่องก็ไม่ได้แก้ยาก
หรือมีอะไรให้ต้องลุ้น  ....สบายๆ จ้า

ปล.  เรื่องนี้ทำให้เราได้รู้ว่าไม่ว่าคุณจะมีปัญหาอะไร?
ปัญหากับคนที่บ้าน!  ทะเลาะกับคนในครอบครัว!  หรือมีปัญหาเรื่องธุรกิจกิจการ  
ไม่ว่าจะยากลำบากขนาดไหน  หากคุณไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปปรึกษาใคร!... 
ขอแค่คุณมีท่านหญิงหลีหยางแล้วปัญหาต่างๆ ก็จะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป 55555 
เชื่อเราสิ ...ヾ(>∀<☆ヾ)

........................................................................................................

" เธอ ... ความหมายของเธอคือ  ตอนนี้เธอมีคนที่ชอบแล้วเหรอ? "

" ตอนนี้ยังไม่มี " ซางอิ๋งตอบตามความจริง

" รักเดียวใจเดียวเป็นศีลธรรมที่ดีงาม ระหว่างที่เรายังมีความสัมพันธ์ต่อกันอยู่ เธออย่าเพิ่งไปหาคนอื่นได้ไหม?  นี่เป็นการให้เกียรติฝ่ายตรงข้ามอย่างหนึ่งนะ "

ซางอิ๋งพูดอย่างลำบากใจ " เราจบความสัมพันธ์กันตั้งแต่วันนี้เลยได้ไหม? "

" ไม่ได้ ! "



วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ท่านอ๋อง .. ข้าอยากเป็นศรีภรรยา เล่ม 2


ท่านอ๋อง .. ข้าอยากเป็นศรีภรรยา เล่ม 2 (3เล่มจบ) / ผู้แต่ง : Wu Shi Yi
ผู้แปล : เหมยสี่ฤดู
สำนักพิมพ์ Happy Banana

คำโปรยหลังปก

           ซู่อ๋องได้รับราชโองการให้คุ้มกันเสบียงไปยังเมืองชายแดน ทั้งสองจำต้องแยกจากกันชั่วคราว ไทเฮาที่อยากอุ้มหลานจนทนรอไม่ไหวจึง ‘ขับไล่’ อาหนานไปเมืองชายแดน ทั้งสองจะได้มีเวลา ‘ผลิตลูก’ เแต่อาหนานกลับถูกชาวเป่ยเยวี่ยจู่โจมตอนใกล้จะเดินทางถึงเมืองชายแดน โชคดีที่ซู่อ๋องมาถึงทันท่วงที ช่วยเหลืออาหนานและคนอื่นๆ ในช่วงวิกฤตไว้ได้

           ในขณะที่อาหนานเพิ่งจะเข้าพักในเมืองชายแดน ก็มีสาวงามมาคาดคั้นอาหนานว่าทำไมถึงแต่งงานกับซู่อ๋อง อาหนานตอบเสียงเรียบว่า “ย่อมเป็นเพราะฮ่องเต้พระราชทานสมรส” พอสตรีผู้นั้นได้ยินเช่นนี้จึงไปบอกซู่อ๋องว่าอาหนานไม่ได้ชอบเขา แต่ถูกบังคับให้แต่งงานกับเขา  จึงอดรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนซู่อ๋องไม่ได้ 

            ฉู่ป้าหนิงไม่เคยคิดมาก่อนว่าภรรยาจะไม่ชอบเขา ชีวิตนี้เขาไม่เคยใส่ใจใครมาก่อน แต่กลับใส่ใจอาหนาน เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่ออาหนานคืออะไร รู้เพียงว่าตัวเองให้ความสำคัญกับนางมาก ในสายตาเขา อาหนานแตกต่างจากคนอื่นๆ เขาไม่มีความอดทนพอที่จะพิสูจน์ความรู้สึกที่อาหนานมีต่อเขา เขาเชื่อหลักการอยู่ร่วมกันระหว่างสามีภรรยาว่า สามีภรรยาทะเลาะกันที่หัวเตียง ปรองดองกันที่ท้ายเตียง 

ความรู้สึกหลังอ่านจบ ( อาจมีสปอยล์ )
เล่มนี้เราจะได้รู้อดีตบางอย่างของพระเอก และเริ่มเข้าใจว่าทำไมพี่แกถึงได้เป็นโรครักความสะอาดมากขนาดนี้  เราจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ของพระ-นาง ที่ค่อยๆ เติบโตและเปิดใจให้กันมากขึ้น ต่อไปนางเอกจะเริ่มมองพระเอกในฐานะสามีหรือคนรัก มากกว่าเป็น Boss แล้ว และนางก็จะเริ่มเผยตัวตนที่แท้จริงให้พระเอกได้รู้ ว่าจริงๆ แล้วนางก็ไม่ได้อ่อนโยนว่าง่ายเหมือนกระต่ายน้อยน่ารักอย่างที่แสดงให้คนอื่นๆ เห็นหรอกนะ ...เพราะนางก็โกรธได้ โมโหเป็นเหมือนกัน 

ส่วนพระเอกก็เริ่มเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเหมือนกัน ( หมายถึงความหื่นนะ 55+ )  
จากตอนแรกที่ยังเวอร์จิ้นใสๆ  แต่พอได้ลิ้มรสชาติของการเข้าหอแต่งงานแล้ว  
ก็เล่นเอานางเอกปวดเอวแทบลุกไม่ได้เลยทีเดียว 55+  ...
พระเอกถึงจะเป็นคนพูดน้อยและดูน่ากลัว แต่พี่แกก็มีวิธีดูแลเมียในแบบของตัวเองนะ   
มีความพยายามที่จะเข้าหานางเอกเวลาที่ถูกโกรธ มีความพยายามในการง้อเมียและเริ่มอ่อนโยนมากขึ้น  (ส่วนกับคนอื่นๆ น่ะหรือ ก็ยังคงคอนเซ็ปต์น่ากลัวและเย็นชาเหมือนเดิม 55+)

เล่มนี้พระ-นางต้องออกจากเมืองหลว งเพราะถูกส่งให้ไปทำภารกิจไกลถึงชายแดน  
พระเอกไปเพราะเรื่องงาน  ส่วนนางเอกต้องไปเพราะถูกไทเฮาเตะส่งมา 55+   .... 
ถึงจะอยู่ไกลกันเป็นพันลี้ แต่แม่พระเอกก็ยังไม่ละทิ้งความพยายาม ที่จะส่งสาวงามไปให้ลูกชายตัวเองอยู่ดี เพราะการที่นางเอกได้แต่งงานกับพระเอกและยังมีชีวิตรอดปลอดภัยนั้น  
ก็ได้ทำให้คนอื่นๆ เริ่มคิดว่าดวงพิฆาตภรรยาและสิ้นไร้บุตรของพระเอกคงหมดสิ้นแล้ว
ไม่มีแล้ว 
ประกอบกับหน้าตาที่หล่อเหลาสมชายชาตรี แถมยังมีอำนาจในมือและเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ด้วย  ก็เลยยิ่งทำให้เป็นที่หมายปองของหญิงสาวมากมาย 
จึงเริ่มมีคนคิดอยากจะปีนขึ้นเตียงเพื่อหวังเป็นอนุเริ่มมีคนแอบใช้ยาเพื่อหลอกล่อ  
แถมยังมีแม่พระเอกที่เที่ยวไปสรรหาผู้หญิงที่หน้าตาคล้ายๆ นางเอกส่งมาให้อีกด้วย..เหอๆ .....ได้สนุกกันล่ะที่นี่  


ตอนนี้ตัวละครจะเริ่มเยอะขึ้น  มีเรื่องการทำศึกเพิ่มเข้ามา แล้วยังมีเรื่องขององค์ชายต่างแคว้น ที่ดูแล้วถ้าหากไม่ตายก็คงจะได้เจอกันอีกในเล่ม 3.... 
แล้วไหนจะเรื่องสาวงามญาตินางเอกที่แอบชอบพระเอกมาตั้งแต่เล่ม 1 อีกล่ะ  
เพราะนี่ก็ดูท่าจะไม่ยอมออกเรือนจนกว่าพระเอกจะกลับไป ( ขานี่พอได้เห็นพระเอกแล้วก็ชอบมาก มโนมาก ไม่อยากกลับบ้านเดิมแล้ว จะอยู่ต่อรอจนกว่าพระเอกจะกลับเมืองหลวง เผื่อจะมีโอกาสได้แต่งเป็นเมียพระเอกอีกคน )    ..
คิดว่าเล่มหน้าคงจะมีอะไรสนุกๆ ให้ติดตามมากขึ้น แต่โดยรวมเนื้อหาของเรื่องก็ยังสบายๆ  อ่านแล้วไม่ต้องคิดเยอะ อ่านได้เรื่อยๆ  สนุกดี ....   

เสมือนได้พักเบรกหลังจากที่อ่านพวกแนวเข้มข้นซับซ้อน ดราม่า หรือชิงไหวชิงพริบมา ...

................................................................................................

          '.. ฉู่ป้าหนิงยื่นมือออกไปหานาง  น้ำเสียงแผ่วเบาแหบพร่าเย้ายวนใจ  คงเพราะฤทธิ์สุรากัดกร่อนสติสัมปชัญญะ  มุมปากจึงคลี่ยิ้มจางๆ  นัยย์ตาดำสนิทอ่อนโยนดั่งสายน้ำ  ใบหน้าหล่อเหลาย้อมสีแดง  ภายใต้แสงไฟสลัว  ใบหน้าเขาเหมือนถูกล้อมกรอบด้วยแสงสีขาวหยก  หล่อเหลาเกินใคร
            คนผู้นั้นลังเลครู่หนึ่งและเดินเข้ามาช้าๆ
            มู่หยวนเงยหน้าเหลือบมอง  รอจนคนผู้นั้นเข้ามาใกล้จนเห็นใบหน้านางชัดเจน  เขาก็ขมวดคิ้วทันที  ก่อนหน้านี้แสงสลัวราง ฟังน้ำเสียงและดูจากรูปร่าง เขาก็คิดเหมือนท่านอ๋องว่าเป็นพระชายา  แต่บัดนี้เห็นชัดแล้ว  .....  หากมองเฉพาะใบหน้าด้านข้างจะคล้ายคลึงกับพระชายามาก ....
           ...... มู่หยวนก็ลอบร้องในใจว่าแย่แล้ว  .......... '